แหล่งรวมประวัติ ผลงาน ประสบการณ์ในชีวิต ของนักแสดง นักร้อง วงดนตรี และอีกหลากหลายอาชีพที่ประสบความสำเร็จในชีวิต พร้อมเจาะลึกความลับต่างๆ ของบุคคลที่คุณชื่นชอบ
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
บอย ปกรณ์
ชื่อ - สกุล : ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ (บอย)
วันเกิด : 20 สิงหาคม 2527
การศึกษา
- จบ ม.6 เตรียมอุดมฯ
- สำเร็จการศึกษาป.ตรี เภสัช จุฬา
ส่วนสูง : 180 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 63 กิโลกรัม
งานอดิเรก : ดูหนัง เล่นฟุตบอล โกลคาร์ด
สิ่งที่ชื่นชอบ : งานศิลปะ
กีฬา : ฟุตบอล
ศิลปินที่ชอบ : จักจั่น อคัมย์สิริ
ของสะสม : หมวกแก๊บ
สีที่ชอบ : ชมพู เขียว
จากเภสัชกรมาทำงานในวงการบันเทิงได้อย่างไร
บอย ปกรณ์ : ผมทำงานตรงนี้มาตั้งแต่เรียนปี 1-2 มาถึงวันนี้ก็อยู่วงการมา 5-6 ปีแล้ว เริ่มจากถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เล่นเอ็มวี จากการชักชวนเหมือนคนทั่วไป ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมาเอาดีตรงนี้ คิดว่าทำงานหาเงินค่าขนม อย่างงานโฆษณาตอนนั้นได้เงิน 1-2 หมื่นก็เยอะแล้วสำหรับเด็กที่ยังเรียนอยู่ จากนั้นพอจบก็มีงานเข้ามามากขึ้น ผมมีโอกาสได้ไปเล่นหนัง ตอนนั้นหางานอยู่พอดี ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งด้วย มีโอกาสก็เลยเข้ามาลองทำดูก่อน
แล้วงานด้านเภสัชกรรมล่ะ
บอย ปกรณ์ : ผมยังไม่ทิ้ง ผมเคยฝึกงาน อยู่ร้านยามาบ้าง สนุกดี ยังเป็นงานที่ผมชอบ แต่ผมอยากรอให้งานในวงการอยู่ตัวก่อน ผมอยากทำควบคู่กันไป อยากเปิดร้านขายยา เพราะผมมองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง และติดตัวเราไปจนตาย
แต่ดูเหมือนจะแตกต่างกันมากนะ
บอย ปกรณ์ : โชคดีผมมีพื้นฐานมาตั้งแต่เรียน ม.ปลาย มีโอกาสทำกิจกรรมบ่อยๆ คือถ้าในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมีละคร หรือกิจกรรมอะไรก็มักจะเอาผมไปเล่น
คุณพ่อ คุณแม่ ว่าอย่างไร
บอย ปกรณ์ : ความจริงที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนให้มาทำงานในวงการเท่าไหร่ แม่วางแผนไว้แล้ว ว่าถ้าเรียนจบ อยากให้ผมทำธุรกิจส่วนตัวที่บ้าน หรือไม่ก็อยากให้ไปทำอะไรที่เกี่ยวกับการขายยา ถึงไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่ว่า เพราะแม่จะสอนเสมอ ว่าทำอะไรแล้วก็ให้ตั้งใจ ทำไปให้เต็มที่ ทำให้สุด อย่ากั๊ก ที่ผ่านมาแม่ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด หรือชมอะไรอยู่แล้ว แต่เขาก็จะคอยติดตาม ส่วนพ่อของผมเสียชีวิตไปประมาณ 4-5 ปีแล้ว
มีพี่-น้องไหม
บอย ปกรณ์ : ผมมีน้องชาย 2 คน ผมเป็นพี่คนโต เราห่างกัน 3 ปี น้องคนกลางอายุ 22 ปี ส่วนคนเล็ก 19 ปี คนกลางตอนนี้ก็เริ่มมีงานโฆษณา งานเอ็มวีเข้ามาบ้างแล้ว ตอนเด็กพวกเราก็จะซนกันตามประสาผู้ชาย
เห็นว่าก่อนหน้านี้เป็นคนขี้อายมาก
บอย ปกรณ์ : ตอนนี้ก็ยังเป็น ผมเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่กล้าพูดกับใครก่อน ถ้าคนมองหน้า ผมก็จะไม่กล้าสบตา แต่ถ้ารู้จักจริง ๆ ผมจะเป็นคนเฮฮาค่อนข้างมาก ในกลุ่มเพื่อนจะเป็นหัวโจกเลย คือผมจะไม่ใช่คนชอบเรียนมาก แต่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด
วันนี้คิดว่าตัวเองดังหรือยัง
บอย ปกรณ์ : ไม่ดังหรอก ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแค่เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น เข้ามาทักมากขึ้นแค่นั้น ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไหม คงไม่เปลี่ยน ผมตั้งใจไว้แล้ว ว่าการที่มาทำงานตรงนี้แม้จะต้องมีการวางตัวบ้าง แต่ผมไม่อยากให้กระทบชีวิตเรา ผมอยากทำอะไรทุกอย่างเหมือนเดิม ยังกินข้าวที่ไหนก็ยังกินเหมือนเดิม ไม่อายใคร ทุกวันนี้ผมยังขับมอเตอร์ไซค์ในซอย กินข้าวข้างถนนอยู่เลย อาจจะแปลกๆ ตรงที่มีคนมอง แต่ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม เพราะชีวิตเราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
เตรียมตัวตั้งรับไว้บ้างหรือยัง ความดังมักมาคู่กับข่าวไม่ค่อยดี
บอย ปกรณ์ : ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก เวลานักข่าวถามอะไร ผมจะถือคติความจริงคือความจริง ถ้าไม่จริงก็คือไม่จริง
กลัวไหมว่าจะโดนขุดคุ้ยเรื่องในอดีต หรือโดยแชะภาพจากปาปาราซซี
บอย ปกรณ์ : ไม่กลัว อย่างที่บอกทุกวันนี้ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติเดิม ๆ ไม่ได้สนใจอะไร และคงไม่มีอะไรให้ขุดคุ้ย ผมเป็นคนเรียบ ๆ ง่าย ๆ สบาย ๆ อยู่แล้ว
ต้องระวังตัวมากขึ้นหรือเปล่า
บอย ปกรณ์ : มีบ้าง นิดหน่อย อย่างเวลาไปกินข้าวข้างนอกจะกินอุบาทว์เหมือนเดิมคงไม่ได้ ออกไปไหนผมก็จะพยายามไม่แต่งตัวให้โทรมมาก เมื่อก่อนไปห้างแถวบ้าน ผมจะใส่กางเกงขาสั้น เสื้อบอล เดี๋ยวนี้ก็คงไม่ได้ หรือเวลาเล่นกับน้องเมื่อก่อนอยู่นอกบ้านจะเล่นอุบาทว์ เดี๋ยวนี้ไม่กล้า ก็จะนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับรู้สึกอึดอัดอะไร
วางอนาคตการทำงานตรงนี้ไว้อย่างไร
บอย ปกรณ์ : วางแค่ให้งานตรงนี้อยู่ตัว แล้วก็ทำงานเภสัชกรควบคู่กันไป กับงานตรงนี้ ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องไปอยู่ถึงจุดไหน เอาแค่เท่าที่เราไปได้ ตอนนี้ก็ถ่ายทำละครเรื่อง "หัวใจสองภาค" ของพี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์) อยู่ แล้วก็มีโปรเจกท์หนังที่อยู่ระหว่างพูดคุยอีกหนึ่งเรื่อง
เรื่องของหัวใจ มีใครมาดูแลหัวใจหรือยัง
บอย ปกรณ์ : ตอนนี้เรื่อย ๆ ไม่ได้ปิดโอกาส ยังไม่มีอะไรชัดเจน คุย ๆ ศึกษากันไป ไม่ได้อะไร ผมยังวุ่นกับการทำงานด้วย
แสดงว่ามีคนดู ๆ คุย ๆ อยู่
บอย ปกรณ์ : มีคุยบ้าง แต่ยังไม่มีอะไรชัดเจน เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก คุยมาสักพักหนึ่ง ไม่ถึงปี เป็นคนนอกวงการ ผมเลยไม่อยากพูดอะไรเท่าไหร่ ไม่อยากใหเขาเสียหาย
เพราะเป็นดาราแล้วเลยไม่กล้าเปิดเผยหรือเปล่า
บอย ปกรณ์ : ไม่ ๆ ผมไม่ค่อยสนใจตรงนั้นเท่าไหร่ ถ้าชัดเจนก็กล้าพูด เพียงแต่อยู่ระหว่างศึกษา ไม่ชัดเจน อนาคตมันไม่แน่นอน ผมกลัวเขาเสียหาย
แต่ที่ผ่านมา ก็มีข่าวกับหลายคนนะ อย่าง "ตาล" กัญญา "รัน" ณัทธมนกาญจน์
บอย ปกรณ์ : เฉย ๆ ข่าวก็เป็นข่าว มันไม่เป็นความจริง ผมก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
สาวในสเปกของบอยต้องเป็นอย่างไร
บอย ปกรณ์ : ไม่ค่อยวางไว้เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ชอบผู้หญิงตาโต แต่เอาเข้าจริง ก็ดูที่คุยรู้เรื่อง ดูที่นิสัยส่วนตัวมากกว่า
มุมมองความรักล่ะ
บอย ปกรณ์ : เป็นอะไรที่มาเติมเต็มให้ยืนได้ ไม่ใช่สิ่งแน่นอน ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ชีวิตยังมีอย่างอื่นให้คิด ให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น แม่ หรือ เพื่อน
ที่มา : http://www.kodhit.com/
Titanium
ไทเทเนียม เป็นชื่อของวงดนตรีฮิปฮอปที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ ในวงไทเทเนียมประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คนได้แก่ ขัน-ขันเงิน เนื้อนวล, เดย์-จำรัส ทัศนละวาด และ เวย์-ปริญญา อินทชัย ซึ่งจุดกำเนิดมาจาก ขัน และ เดย์ ซึ่งขันเกิดที่กรุงเทพมหานคร ส่วนเดย์มีบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งแม้จะแตกต่างในภูมิภาคถิ่น กำเนิด แต่ทั้งคู่ก็มีใจที่รักและหลงใหลเสียงดนตรีเหมือนกัน
ทั้งขัน และเดย์ มีโอกาสได้รู้จักกันในช่วงที่ทั้งคู่ได้ไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากการที่ทั้งสองบังเอิญมาเจอกันที่งานปาร์ตี้ฮิปฮอป ซึ่งต่างฝ่ายต่างรับเชิญเป็นดีเจเปิดแผ่นเหมือนกันโดยที่ก่อนหน้านี้ขันเคย มีผลงานทำอัลบั้มร่วมกับเพื่อนอีกหนึ่งคนที่เมืองไทย โดยใช้ชื่อว่า ขันที มาแล้ว
หลัง จากที่มีโอกาสได้พบเจอกันตามงานปาร์ตี้สังสรรค์ชาวฮิปออปบ่อยครั้ง ขันและเดย์ก็กลายมาเป็นคู่หูดีเจและเอ็มซี เปิดแผ่น จัดงานปาร์ตี้สังสรรค์ที่เรียกกันว่า Jump-Off House Party ในย่านของชนชาวฮิปฮอป เขตซานฟรานซิสโก
หลัง จากที่จบการศึกษาที่สหรัฐอเมริกา ขันมีความตั้งใจมุ่งมั่นอยากที่จะงานดนตรีฮิปฮอปในแบบฉบับของคนไทยออกมาให้ ชาวโลกได้ประจักษ์ ตลอดไปถึงต้องการถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ของดนตรีในรูปแบบของฮิปฮอปดั้งเดิม จากอิทธิพลที่เขาได้ไปใช้ชีวิตในย่านของชาวฮิปฮอปมาตลอดกว่า 3 ปี มาให้คนไทยได้รู้จักขันได้ชักชวนเดย์ซึ่งมีความใฝ่ฝันเหมือนกันกลับมาที่ประ เทสไทย เพื่อที่จะเริ่มต้นทำงานดนตรีในแบบฉบับฮิปฮอปที่เป็นของคนไทยอย่างแท้จริง ขึ้นมา
เมื่อขันและเดย์กลับมาที่เมืองไทย เขาทั้งสองได้มีโอกาสไปตามงานปาร์ตี้ที่มีการเปิดเพลงฮิปฮอป ซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิด แล้วจากจุดนั้นเองที่ทำให้พวกเขาได้รู้จักกับ เวย์ ซึ่งเป็นนายแบบ และศิลปินนักร้องหนึ่งในสมาชิกวง ทีนเอจเกรดเอ อยู่ในขณะนั้น
เมื่อติดต่อทำความรู้จักกันมากขึ้น ทำให้ขันเห็นถึงพลังความหลงใหลในดนตรีฮิปฮอปของเวย์ ตลอดไปถึงการที่เวย์เกิดและเติบโตมาในนิวยอร์ค เมืองทีได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของฮิปฮอปแห่งหนึ่ง ทำให้ขันและเดย์พูดคุยถึงเรื่องราวดนตรีฮิปฮอปกับเวย์ได้อย่างถูกคอมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาได้ย้ายไปทำงานที่นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะเข้าไปคลุกคลีในแวดวงดนตรีฮิปฮอปมากที่สุด
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2000 วงไทเทเนียมได้ถือกำเนิดขึ้นมา โดยมีสมาชิกคือ ขัน เดย์ และเวย์ พวกเขาทั้งสามมีเหตุผลในการตั้งชื่อวงว่า ต้องการนำเสนอดนตรีฮิปฮอปที่มีความเป็นไทยลงไปให้มากที่สุด อัลบั้มชุดแรกที่พวกเขาลงมือทำงานกันด้วยตัวเอง ใช้ชื่อว่า AA ซึ่งถือว่าเป็นที่กล่าวขวัญในวงการดนตรีฮิปฮอปใต้ดิน และหลังจากนั้นไม่นาน ไทเทเนียมก็ปล่อยอัลบั้มชุดที่สอง ชื่อ Thai Riders และอัลบั้มถัดมาคือ P77 ซึ่งเป็นอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง จังหวัด 77
ไทเทเนียม เป็นที่กล่าวขวัญมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยผลงานที่มีคุณภาพสูง มีซาวน์ดนตรีแปลกใหม่และเร้าใจ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเนื้อหาของถ้อยคำที่พวกเขาใส่ลงไป ในบทเพลงว่า รุนแรง และก้าวร้าว ซึ่งต่างก็เป็นงานเพลงที่พวกเขาทำกันออกมาจากความอิสระโดยไร้ซึ่งกรอบเกณฑ์ ใดใด อย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ไทเทเนียมได้ส่งเพลง ยักไหล่ เข้าไปรวมอยู่ในอัลบั้ม แบล็ค ทู เดอะ ฟิวเจอร์ แล้วพวกเขาก็บินกลับไปใช้ชีวิตทำงานเพลงที่สหรัฐอเมริกาต่อ ถัดจากนั้นเพียงไม่นาน ไทเทนียมก็มีงานอัลบั้มชุดที่ 3 ชื่อ R.A.S(Resisting Against Da System) ซึ่งเป็นงานที่ทำให้พวกเขาทั้งสามเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ด้วยภาคดนตรีที่มีพัฒนาการสูงขึ้น สามารถเทียบชั้นวงดนตรีฮิปฮอปสากลได้หลายวง อีกทั้งยังมีเนื้อเพลงที่เบาลงในด้านถ้อยคำ แต่ด้านเนื้อหายังคงไว้ซึ่งเรื่องราวที่เข้มข้นเหมือนเดิม
หลังจากนั้นฝีไม้ลายมือของไทเทเนียมเกิดไปเข้าตาค่ายสนามหลวง ของ ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม ที่ได้มาทาบทามให้พวกเขาออกอัลบั้มร่วมกับสนามหลวง โดยใช้ชื่อว่า Thailand's Most Wanted จากนี้แล้วไทเทียมยังเป็นวงดนตรีที่ได้รับความสนใจจากนักดนตรีต่างๆ มากมาย สังเกตได้จากการที่พวกเขาทั้งสามมีชื่อเข้าไปร่วมในงานโปรเจคต่างๆ ของศิลปินมากมาย อาทิ การมาร่วมงานกับนักร้องสาวสุดฮอต ทาทา ยัง ในอัลบั้มชุด แดนเจอรัส ทาทา , แสดงเพลง No Worries (Remix)/ทะลึ่ง ร่วมกับ ไซม่อน เวปป์ ในงานเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ด ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2006 อีกด้วย
ที่มา : http://entertainment.th.msn.com/Photos/Celebs/photo.aspx?cp-documentid=3526380
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วง Mild
MILD มายด์ จุดเริ่มต้นของการรวมตัวของพวกเขาทั้งหมด คือ ความฝัน ความอ่อนโยนและความนุ่มนวลที่สัมผัสได้จากดนตรี การรวมตัวของเด็กหนุ่มจากเชียงใหม่ที่รักในเสียงดนตรี และด้วยความสามารถที่พวกเขามีอยู่ทำให้วง MiLD เป็นที่ยอมรับเป็นที่รู้จักในกลุ่มวัยรุ่นเชียงใหม่ จากการเริ่มต้นโดยเล่นดนตรีตามงานต่างๆ พวกเขาก็เก็บสะสมประสบการณ์เรื่อยมา จนได้มีโอกาส ร่วมเล่นโชว์ในงานแฟตทีเชิตครั้งที่3 และรางวัลที่ การันตรีถึงความสามารถของพวกเขา คือ รางวัลชนะเลิศพานาโซนิคสตาร์ชาเล้นท์ ปี 2003 และจากกลุ่มแฟนเพลงกลุ่มเล็กๆจากเชียงใหม่ที่ให้การตอบรับพวกเขาและคอยให้กำลังใจ อย่างอบอุ่น ทำให้วันนี้ ซิงเกิ้ลเพลง อีก นาน ไหม ถือเป็นผลงานชิ้นแรก ในเส้นทางสายดนตรี
MiLD มายด์ ประกอบด้วย
บดินทร์ เจริญราฎร์ (เป้) - ร้องนำ
กำลังศึกษา ปี 3 คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เจน มโนภินิเวศ (เต่า) - กีตาร์
กำลังศึกษา ปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พิทวัส ขุนทอง (ขุน) - เบสกำลังศึกษา ปี 2 คณะวิทยาการการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์ การประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ณธีพัฒน์ ประเสริฐมนูกิจ (ทอมท่อม) - คีย์บอร์ดสำเร็จการศึกษาจาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไพสิฐ คำกลั่น (เป้) - แซกโซโฟน
กำลังศึกษา ปี 3 คณะวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ธงไชย ทิมพูล (ไมค์) - มือกลอง
กำลังศึกษา ปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาจักรกลเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- my ma showMiLD มายด์ ประกอบด้วย
บดินทร์ เจริญราฎร์ (เป้) - ร้องนำ
กำลังศึกษา ปี 3 คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เจน มโนภินิเวศ (เต่า) - กีตาร์
กำลังศึกษา ปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พิทวัส ขุนทอง (ขุน) - เบสกำลังศึกษา ปี 2 คณะวิทยาการการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์ การประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ณธีพัฒน์ ประเสริฐมนูกิจ (ทอมท่อม) - คีย์บอร์ดสำเร็จการศึกษาจาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไพสิฐ คำกลั่น (เป้) - แซกโซโฟน
กำลังศึกษา ปี 3 คณะวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ธงไชย ทิมพูล (ไมค์) - มือกลอง
กำลังศึกษา ปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาจักรกลเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อัลบั้มของ วง Mild มายด์
- อีกนานไหม Single แรก
- Mild
- The 2nd Single
ที่มา : http://celebrity.myfri3nd.com/blog/2010/05/08/entry-2
อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ
ชื่อ นามสกุล : | พัชราภา ไชยเชื้อ |
ชื่อเล่น : | อั้ม |
วันเกิด : | 5 ธ.ค. 2521 ที่โรงพยาบาลเพชรเวช |
สูง : | 168 ซ.ม |
น้ำหนัก : | 46 ก.ก |
พี่น้อง : | เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อ-คุณแม่ วรวุฒิ -สุภาพร ไชยเชื้อ |
สีโปรด : | สีดำกับชมพู |
การศึกษา : | จบประถมศึกษาโรงเรียนสตรีวรนารถ บางเขน มัธยมโรงเรียนดัดดรุณี จ.ฉะเชิงเทรา และปริญญาตรีมหาวิทยาลัยรังสิต |
ประทับใจตัวเองที่ : | ดวงตากับปากเซ็กซี่ |
ใช้น้ำหอม : | Ck one |
งานอดิเรก : | ฟังเพลง , ดูหนัง ช็อปปิ้งเสื้อผ้า เข็มขัด รองเท้า ถูกใจสยามแสควร์ |
กีฬา : | ว่ายน้ำ ขี่ม้า |
นักแสดงที่ชื่นชอบ : | ชไมพร จตุรภุช |
นักร้องที่ชอบ : | มาช่า ชอบคาราโอเกะเพลงช้าของมาช่า มาลีวัลย์ และปาน-ธนพร |
เพลงเก่งคือ : | เพลงอย่าปล่อยให้เขาเห็นน้ำตา ของบูโดกัน เพลงรักจนตัดใจ ของพี่แหวน เพลงดาวกระดาษ ของปนัดดา |
นักกีฬาที่ชื่นชอบ : | ไทเกอร์ วู้ดส์ |
แนวเพลงที่ชื่นชอบ : | ป๊อป |
อาหารจานโปรด : | ข้าวหมูทอด , ข้าวมันไก่ |
สิ่งที่ชอบๆของอั้ม : | ชอบเลี้ยงสุนัข มีเลี้ยงอยู่ 5 ตัว ตัวโปรดชื่อ กัปตัน |
ชอบท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เช่น ไปดำน้ำ เที่ยวทะเล ชมน้ำตก | |
ผู้ชายในอุดมคติ : | ต้องเป็นคนดี ใจดี เอาใจเก่ง ต้องเข้าใจกัน พร้อมจะให้อภัยกันเมื่ออีกฝ่ายทำผิด |
กิจกรรมที่ทำและมีความสุข : | โทรศัพท์คุยกะเพื่อน ชอบเมาท์ ชอบฟังเพื่อนคุย นานสุด 3 ชั่วโมง |
เล่นกับหมา เพราะเป็นอะไรที่น่ารักมาก | |
ออกไปหาอะไรที่แปลกๆ ทาน ชอบชวนเพื่อนไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกัน ไม่ได้ทานเก่งนะแต่ทานได้ทุกอย่าง อย่างละนิดๆ | |
รับตังค์จากการทำงานจากความพยายามจากน้ำพักน้ำแรงแล้วจะมีความสุข | |
ทำบุญ รู้สึกสบายใจ บางทีไปกับคุณแม่จะไปบริจาคโลงศพ ให้กับศพไม่มีญาต | |
เดินเล่นกับพ่อแม่ เดินห้าง ซื้อของ | |
ขี้ม้า | |
เข้าสู่วงการโดย : | การประกวด "มิสแฮ็คปี 1997 " (ได้รับตำแหน่งชนะเลิศ |
ผลงานชิ้นแรก : | MV ไม่ใช่คนในฝัน ของ ต้น อาภากร |
คติประจำใจ : | คติประจำใจทำวันนี้ให้ดีที่สุด |
ที่มา : http://writer.dek-d.com/i-janza/story/viewlongc.php?id=274426&chapter=1
บี พีระพัฒน์
บี พีระพัฒน์ ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลง เริ่มจากวัยเด็กกับตำแหน่งเป่า ทรัมเป็ต ของวงดุริยางค์โรงเรียน อัสสัมชัญ ศรีราชา และผู้ชนะเลิศในการประกวดวงดนตรีในโครงการ BU BAND ในตำแหน่งนักร้องนำของ มหาวิทยาลัย กรุงเทพ สถาบันที่เขาศึกษาอยู่ในขณะนั้นมาเป็นใบผ่านทางของการที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นนักร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และเขาเกือบจะได้เป็นศิลปินเดี่ยวในสังกัดค่าย Stone Entertainment แต่เพียงแค่เริ่มอัดไปได้แค่ 3 เพลงค่ายก็ปิดตัวลงด้วยเหตุผลทางธุรกิจ จากนั้นปี 2541 เขาเริ่มงานเพลงอย่างจริงจังอีกครั้งกับการเป็นสมาชิกของวง “RRR&B” สังกัด Grammy QX ตำแหน่งร้องนำ มีอัลบั้มออกสู่ตลาดเพลงเป็นครั้งแรกชื่อ “อาทั้งสามกับหลานบีและดนตรีของพวกเขา” ตามด้วยอัลบั้ม RRR&B Special Volume 1 และ 2 ที่มาของเพลงฮิต“สองเรา” พอหมดสัญญาเขาก็เริ่มออกหาประสบการณ์เพิ่มเติมด้วยการรับงานอื่นที่เกี่ยวกับดนตรี โดยเฉพาะการออกเดินสายร้องเพลงตามคลับกลางคืนทั่วกรุงเทพฯ รวมถึงรับจ้างบันทึกเสียงในสตูดิโอ โดยเน้นหนักในด้านของการใช้เสียงซึ่งเป็นจุดเด่นเฉพาะตัวของเขา ก่อนที่จะได้งานร้องเพลงประจำที่ Saxophone Pub & Restaurant คลับแจ๊สชื่อดังของกรุงเทพฯ และมันกลายเป็นที่ที่ทำให้พบกับเพื่อนๆ นักดนตรีก่อนที่จะตกลงกันทำวงและงานเพลงร่วมกันภายใต้ชื่อวง “เครสเชนโด้” ซูเปอร์กรุ๊ปวงนี้กำเนิดจากการรวมตัวของนักดนตรีฝีมือดีจากหลากหลายวง พวกเขามีผลงานและเซ็นสัญญากับค่าย Bakery Music โดยมีเพลงดังอย่าง "ความจริงในใจ, วีนัส และ โลกหมุนด้วยความรัก จากอัลบั้ม Crescendo ในปี 2547 และ "ดินแดนแห่งความรัก, รู้บ้างไหม จากอัลบั้ม Second Chance ในปี 2548" โดย บี พีระพัฒน์ รับหน้าที่แต่งเนื้อร้องและทำนองเป็นหลัก ทำให้วงประสบความสำเร็จและมีเพลงฮิตมากมาย รวมถึงได้รับรางวัลสำคัญทางดนตรี 12 รางวัลด้วยกันคือ สีสัน อะวอร์ด ถึง 2 ปีซ้อน, คมชัดลึก อะวอร์ด ในปี 2547, ตามด้วย Fat Awards และรางวัลระดับนานาชาติอย่าง GBOB
นอกจากความสามารถของนักดนตรีแล้ว...ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสียงร้องทรงพลังที่มีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ บวกฝีมือการแต่งคำร้องและทำนองของบี เป็นอีกส่วนที่สำคัญที่ทำให้วงประสบความสำเร็จ
หลังจากแยกตัวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว บี พีระพัฒน์ ยังคงโลดแล่นและโดดเด่นอยู่ในวงการเพลงกับการเป็นส่วนหนึ่งในอัลบั้ม Sleepless Society 2 ในเพลง “อโรม่า” ในปี 2549 และโด่งดังอย่างกว้างขวางกับเพลง “บัวลอย” เพลงเด่นใน “25 ปีมนต์เพลงคาราบาว” อัลบั้มประวัติศาสตร์ของวงการเพลงไทย ในปี 2550
จากการรอคอยที่ยาวนาน ผ่านการทำงานอย่างหนักบนเส้นทางแห่งความฝันที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ประสบการณ์กว่า 10 ปีบนถนนดนตรีของ บี พีระพัฒน์ ได้หล่อหลอมความฝัน จนตกผลึกทำให้เกิดเป็นศิลปินตัวจริงที่มีคุณภาพประดับวงการเพลงไทยอีกหนึ่งคน
ที่มา : http://www.you2play.com/bepeerapat/bio/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)